Username or email *
Password *
Remember Me
Log in
Username *
Email address *
Your personal data will be used to support your experience throughout this website, to manage access to your account, and for other purposes described in our privacy policy.
Register
No products in the cart.
เมื่ออายุมากขึ้น สุขภาพก็เริ่มถดถอย ไม่เหมือนเดิม มองหาสิ่งดี ๆ ให้ตัวคุณเอง มองหาโพชง เครื่องดื่มสมุนไพรและพฤกษาชาติ 32 ชนิด ตัวช่วยที่จะทำให้คุณกลับมาแข็งแรง สดใส อีกครั้ง ดูสินค้าทั้งหมด
*ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่แต่ละบุคคล
วิธีสังเกตอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ แม้แต่อากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยในหนึ่งวัน ทำให้ร่างกายของหลาย ๆ ท่านปรับตัวไม่ทัน หรือ บางท่านก็มีปัจจัยร่วมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือ สภาพร่างกายที่ต้องเผชิญหน้ากับความเครียดก็นำมาสู่การเจ็บป่วยเกิดขึ้น โดยอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยคือ ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเราจะขอพาทุกท่านไปรู้จักกับ อาการไข้หวัดใหญ่ว่ามีอาการอย่างไรบ้างดังต่อไปนี้ 1.อ่อนเพลีย โดยเป็นอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน เรียกได้ว่าเป็นอาการอ่อนเพลียแบบเฉียบพลันกันเลย 2.มีไข้สูง ส่วนนี้เป็นอาการที่สามารถวัดได้ และ ควรเฝ้าระวังเป็นอย่างมาก ซึ่งไข้สูงนี้ คือ อุณหภูมิของร่างกายอยู่ที่ 39 – 40 องศาเซลเซียส 3.อาการปวดเมื่อย ไข้หวัดใหญ่ อาการที่สังเกตได้อีกสิ่ง ก็คือ อาการปวดเมื่อยที่มักเกิดขึ้นตามข้อของร่างกาย ทั้งส่วนของแขนและขา นอกจากนี้ก็มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วย 4.เกิดความแดง ความแดงที่จะปรากฎตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไข้หวัดใหญ่ อาการแดงมีทั้งที่ตาแดง คอแดง หรือ แม้แต่ตัวแดงจากไข้ขึ้น อาการจะเป็นมากใน 3 วันแรก หลังจากนั้นอาการจะเริ่มดีขึ้น โดยหายสนิทอาจใช้เวลา 10-14 วัน แต่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อาจใช้เวลานานกว่านี้ เมื่อเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งกับตัวคุณเอง และ คนรอบข้างที่คุณรักและคุณต้องดูแล การรีบรักษาให้หายย่อมเป็นหนึ่งสิ่งที่ทุกท่านต้องทำ เพื่อให้สามารถรักษาได้อย่างตรงจุด สามารถเกาได้ตรงบริเวณที่คัน เราจึงจำเป็นต้องทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ๆ ขึ้น โดยคุณก็สามารถสังเกตด้วยตนเองเบื้องต้นได้จากอาการ ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีทั้งต่อตัวของคุณเองและแพทย์ที่ทำการรักษาคุณอย่างแน่นอน วิธีเสริมภูมิคุ้มกันควรดื่มเครื่องดื่มที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดอาการเป็นหวัด โดยเฉพาะในเครื่องดื่มโพชง ที่มีสมุนไพรที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เพียงดื่มวันละแก้ว เพียงครั้งละ 30 cc.
โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่ไม่เป็นอันตรายจนเกินเหตุ หรือที่เรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” โดยร่างกายจะมองว่าสารเหล่านี้เป็นภัย และพยายามกำจัดออก ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ ขึ้น สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย สารก่อภูมิแพ้มีอยู่รอบตัวเรา เช่น ไรฝุ่น รังแคของสุนัขและแมว แมลงสาบ เกสรดอกหญ้า เมื่อร่างกายได้รับสารเหล่านี้ ก็อาจแสดงอาการแพ้ในหลายระบบของร่างกาย โรคภูมิแพ้ส่งผลต่อระบบใดบ้างในร่างกาย? ระบบทางเดินหายใจอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ น้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก (มักเรียกว่า “แพ้อากาศ”) หากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นไอเรื้อรัง หายใจลำบาก หรือเป็นโรคหืด ระบบผิวหนังเช่น ผื่นลมพิษ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) หรือผื่นจากการสัมผัสสารที่แพ้ ระบบทางเดินอาหารบางรายมีอาการปวดท้อง อาเจียน หรือถ่ายเป็นมูกเลือด ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการแพ้อาหารบางชนิด ระบบอื่นๆ (กรณีรุนแรง)หากอาการแพ้รุนแรงมาก อาจเกิดปฏิกิริยาในหลายระบบพร้อมกัน เช่น หอบ หายใจไม่ออก ลมพิษทั่วตัว หรือแม้แต่ภาวะช็อค ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สาเหตุของโรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้มีสาเหตุหลักจาก 2 ปัจจัย คือ พันธุกรรม และ สิ่งแวดล้อม พันธุกรรม: หากพ่อแม่มีประวัติภูมิแพ้ ลูกก็มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น สิ่งแวดล้อม: สารก่อภูมิแพ้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็น การหายใจ (เช่น ฝุ่น เกสร ควัน) การรับประทานอาหาร (เช่น อาหารทะเล นม ไข่) การสัมผัสที่ผิวหนัง (เช่น น้ำหอม ผงซักฟอก โลหะบางชนิด) ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ: อากาศเปลี่ยนแปลง ฝุ่นละออง PM 2.5 ควันบุหรี่ หรือมลพิษทางอากาศก็มีผลทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบได้เช่นกัน การดูแลตัวเองเมื่อเป็นภูมิแพ้ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้หรือปัจจัยกระตุ้นต่างๆ สวมหน้ากากกันฝุ่นเมื่อต้องออกนอกบ้าน รักษาความสะอาดในบ้าน ป้องกันฝุ่นและไรฝุ่น รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หากมีอาการเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง เคล็ดลับเพิ่มเติม: หากคุณกำลังมองหาตัวช่วยเสริมสุขภาพ มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่าง “โพชง” ที่หลายคนบอกว่าช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ได้ดี (แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน) สุขภาพดี…
5 วิธีรับมือกับฝุ่นร้าย PM2.5 การป้องกันฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่ค่าฝุ่นละอองสูงเกินมาตรฐาน ซึ่งฝุ่น PM 2.5 คือฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระแสเลือด ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และอาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ 1. สวมหน้ากากป้องกันฝุ่น หน้ากาก N95 หรือ KN95 มีความสามารถในการกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ดี ควรสวมใส่เมื่อต้องออกจากบ้านในพื้นที่ที่มีฝุ่นสูง 2. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้านโดยเฉพาะในวันที่ค่าฝุ่นสูง ตรวจสอบคุณภาพอากาศผ่านแอปหรือเว็บไซต์ที่แสดงดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) 3. ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด ป้องกันฝุ่นจากภายนอกเข้ามาภายในบ้าน โดยการปิดประตู หน้าต่าง หรือใช้ผ้าปิดรูระบายอากาศที่อาจมีฝุ่นเข้าได้ 4. ล้างหน้าหรือทำความสะอาดตัวหลังออกไปข้างนอก เมื่อกลับจากนอกบ้าน ควรล้างหน้า ล้างมือ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อลดการสะสมฝุ่นบนร่างกาย 5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำเยอะๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การดูแลตัวเองที่ดีที่สุดคือการดูแลจากภายใน การออกกำลังกายและทานอาหารที่มีปะโยชน์ ยิ่งทำให้ร่างหายแข็งแรง ต่อสู้กับฝุ่นได้ดี อย่าลืมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน และอย่าลืมดื่ม “โพชง” ช่วยให้นอนหลับพักผ่อนสบายได้เต็มที่